Skip to content

Archive for

The Ryan Air CEO – Kell Ryan


The last, but by no mean the least, keynote in the EurOMA2011 was the one that keep me in the conference closing ceremony.

I must confess that I wasn’t jotting down his speech that much thanks to his outstanding charisma.

However, what I could take away from his keynote were two things, how to turn your business around and how to turn the attention of the audience especially in such a large scale.

The former was so obvious. As we have learnt that Ryan is a Low Cost Airline (LCA) or No-Frills Airline but they are not the pioneer. They was first launched as a Full-service airline in Ireland and almost gone down due to a fierce competition in the aviation industry that offer them the £20M in red. However, they took the LCA business model from the South West Airlines and successfully adapted in Europe. Then Ryan Air got a profit of £125,000 for the first time.

Though it looks too simple, the way they had transformed from to an LCA, it was to do with the decision making & decision maker literally. Here are what Ryan is all about.

  • Cost reduction in every possible area by changing habits of all staffs. This will affect all decision makings e.g., airport selection, process design and routing strategy.
  • Operations champions: reduce turnaround time, maximise the use of the cabin/ seats.
  • Price competitive esp. with their main rival, EasyJet. Revenue pricing is one of the key.

Apart from the tough LCA sector offered by EasyJet, there are several external threats in the aviation industries that RyanAir is facing which are;

  • Fuel price
  • Tax esp. Air Passenger Duty (APD aka. green tax)
  • Terrorism

In the very last part of his keynote, he strongly critique the APD introduced in the Brown’s administration as the major threat of the aviation industry. He further compared to the similar tax employed in the other countries and other sectors that he claimed that have more CO2 emission.

What can Thai LCA can learn from RyanAir probably is the implementation of the business model. LCA is not just a brand, operations strategy of the LCA firms need to be strictly implemented and never loose the focus on cost reduction. As Kell Ryan mentioned in the beginning of his keynote.

” If you want to fly, Come to RyanAir. If you want to dine, just go to the others”

Image of Thailand


Background

This research aims to find the image of Thailand as a tourist destination from the perspective of British and Australian tourists who ever visited Thailand as well as who have not. The research was initiated and supported by Profesor Mingsarn Kaosa-ard of Chiang Mai University.

Contributions

  • Images of tourist destinations can be categorised into 3 types: 
  1. Popular image: An general image that the destination is mostly recognised in general.
  2. Specific image: An image of the destination that is recognised by a particular type of tourists (market).
  3. Attractive images: An image of the destination that is recognised by those who ever visited but not by those who never.
  • Popular image of Thailand is “Foods”
  • Specific image of Thailand from the British perspective is “Great Weather” and “Entertainment e.g., spa, night life” for the Australian market.
  • Attractive image of Thailand is “Entertainment” for the British market and “Value for money” for the Australian market.

In Thai

วันนี้เอางานที่นำเสนอเมื่อสองปีที่ผ่านมา เอามาแบ่งปันกันครับ ก่อนอื่นขอขอบคุณ ศ.ดร. มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ที่ให้โอกาสผมในการทำงานวิจัยนี้

งานนี้เป็นการศึกษาภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของต่างชาติครับ

ภาพลักษณ์ของประเทศมีความสำคัญอย่างมากในเรื่องการตัดสินใจเลือกสถานที่ท่องเที่ยวดังนั้นจึงเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการทำการตลาดและปรับปรุงการให้บริการ เป้าหมายขั้นต้นก็คือต้องการจะรู้ว่า ชาวต่างชาติมองประเทศไทยอย่างไร เป็นแบบที่เราคิดหรือไม่

ผมได้มีโอกาสเก็บข้อมูลที่ สหราชอาณาจักร (อังกฤษ สก๊อตแลนด์ และ เวลส์) อีกทีมทำที่ออสเตรเลีย เราได้นำข้อมูลจากทั้งสองมาทำการวิเคราะห์รายประเทศ และวิเคราะห์เปรียบเทียบกัน

วิธีการศึกษาวิจัย เป็นการสำรวจโดยใช้แบบสอบถามให้ชาวต่างชาติให้คะแนนภาพลักษณ์ต่างๆ ของไทยทั้ง 17 ด้านที่ได้มาจากการ ทบทวนงานศึกษาในอดีต รวมทั้งปรึกษาผู้เชียวชาญ การทดสอบแบบสอบถาม ระหว่างการวิเคราะห์โดยใช้สถิติพรรณนาธรรมดา เช่นค่าเฉลี่ยนั้น ผมพบว่างานแบบนี้ยากมาก เพราะเราได้ข้อมูลมาแล้วคำถามวิจัยตามมาทีหลังซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่พึงปรารถนามากนัก แต่หลีกเลี่ยงได้ยากมากในประเทศไทย ดังนั้นการใช้เครื่องมือจึงต้องมีความระมัดระวังอย่างมาก แต่มันก็ท้าทายไม่น้อยครับเมื่อได้ลองทำๆ ไป ผมก็ได้ค้นพบว่าเราสามารถวิเคราะห์แบ่งภาพลักษณ์นั้นออกได้ 3 ประเภท คือ ภาพลักษณ์ดัง ภาพลักษณ์เด่น และภาพลักษณ์โดน

ภาพลักษณ์ดัง คือ ภาพลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักมากกว่าด้านอื่นๆ อะไรที่เราดังนั่นเอง ภาพลักษณ์เรื่องนี้ทำให้เราทราบว่านักท่องเที่ยวจากแต่ละประเทศมองประเทศเราด้านไหน ทำให้เราสามารถกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดได้เหมาะสมมากขึ้น

ภาพลักษณ์เด่น เป็นการเปรียบเทียบมุมมองของสองกลุ่มตัวอย่าง เราเทียบ สหราชอาณาจักร กับ ออสเตรเลียใครมองอะไรเด่นกว่ากันนั่นเอง สิ่งที่น่าสนใจคือทั้งสองกลุ่มมีลักษณะเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน แต่มีสภาพแวดล้อมของถิ่นที่อาศัยต่างกัน สหราชอาณาจักร มีอากาศที่อึมครึม ฝนตก เกือบตลอดปี ชายหาดเทียบไม่ได้เลยกับบ้านเราขณะที่ออสเตรเลีย ไม่เป็นเช่นนั้น ภาพลักษณ์ในใจของทั้งสองกลุ่มจึงน่าจะต่างกัน ภาพลักษณ์กลุ่มนี้ขยายผลจากส่วนแรก ทำให้เราทราบว่าเราจะสร้างความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มตลาดได้อย่างไร

ภาพลักษณ์โดน คือการเปรียบเทียบระหว่างคนที่เคยมาเที่ยวไทยกับคนที่ยังไม่เคยมา อะไรที่โดนใจคนนั่นเอง ความแตกต่างเกิดจากสองประการหลัก หนึ่ง ประสบการณ์ที่เกิดจากการที่เคยมาเที่ยวแล้ว สอง ภาพลักษณ์ที่มีอยู่แล้วก่อนมาเที่ยว ซึ่งต่างจากคนที่ไม่เคยมาเที่ยวอยู่ด้วยแล้วส่วนหนึ่ง

ตรงนี้ทำให้เราพอทราบได้ว่า ภาพลักษณ์ใดที่โดนใจให้คนมาเที่ยว หรือมาเที่ยวแล้วโดนใจมากกว่าด้านอื่น ทั้งสามด้านใช้ t-test แบบ independent variable เพื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย สำหรับภาพลักษณ์ดังก็เป็นการเทียบระหว่างภาพลักษณ์ด้วยกันเองเพื่อจัดลำดับ เป็นการยืนยันว่า คะแนนดิบที่เราเห็นนั้นสะท้อนความแตกต่างจริงๆ หรือเปล่า

โดยการใช้ t-test นั้นก็เป็นเพียงการทดสอบผลต่างค่าเฉลี่ยครับ เราไม่ได้ทดสอบว่าอะไรทำให้อะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความสัมพันธ์เชิงสาเหตุแต่ว่าการทดสอบความแตกต่างจากสองกลุ่มที่มีลักษณะที่เหมือนและแตกต่างก็ได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจไม่น้อยครับ

ผลที่ได้สามารถดูได้ใน Slides ที่แนบมานี้ครับ

 

ปรากฎการณ์ปาท่องโก๋


โดยปกตินั้น คนชอบนึกว่าคุณภาพดีๆ ต้องแลกกับราคาที่สูงนั้นเป็นพวกสินค้าไฮโซวางขายตามสยามพารากอน หรือ ห้าง Harrods

จริงๆ เราดูของใกล้ๆ ตัวอย่าง “ปาท่องโก๋” ได้

ปรากฎการณ์ปาท่องโก๋ นี่ ผมสังเกตมานานแล้ว สมัยทำงานที่ มช. ก็มักจะแวะซื้อมากินหลังจากทำงานเสร็จแล้วเพราะดึกๆ กินน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ แล้วหลับสบายดี ทุกคนคงสังเกตว่าขนาดของปาท่องโก๋ลดลงตามกาลเวลาอย่างมีนัยสำคัญ

(เรื่องนี้เอาแบบจำลอง เศรษฐมิติ ARIMA GARCH ทั้งหลายมาจับ ก็จะพบว่ามันมีนัยสำคัญทางสถิติ … แต่จะทำไปทำไมละครับ เห็นๆ กันอยู่ แล้ว ทำไปได้อะไร ?)

ราคามันไม่ค่อยเปลี่ยนนะ… ตัวละบาทตลอดกาล (ไม่น่ากลัวมากเพราะไม่ใช่ตัวระบาด)

แต่ว่าขนาดของ ปาท่องโก๋ที่ลดลง มันมีผลต่อรสชาติ อย่างมาก ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า นี่มันปาท่องท่องโก๋ หรือ เศษแป้งทอดเนี่ย…. (หือ ???) สำหรับผมเอง ไม่ว่าจะยังไงป้า(ที่ขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋) ก็จะได้เงินจากผมประมาณ ครั้งละ 40-50 อยู่แล้ว

แต่หลังๆ ป้ามาขายน้ำเต้าหู้แป้งทอดกรอบแทน … ป้าก็อดละครับ
เจ้าประจำผม (ไม่ขอเอ่ยนาม…) เดี๋ยวนี้ขายไม่ค่อยดี…

ร้านที่ขายน้ำเต้าหู้แป้งทอดกรอบหลายๆ ร้านก็ขายไม่ดี

หรือ อุปสงค์ประชาชาติของน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ ลดลง
(ต้องเปลี่ยนเป็นปาท่องโก๋ไส้กิมจิ น้ำเต้าหู้ 2PM หรือ SNSD หรือเปล่านะ ?

เกาหลีฟีเวอร์อาจมีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ก็ได้
เป็นหัวข้อ 409 –แบบฝึกหัดการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ ของ มช. ได้นะเนี่ย)

ทว่า เมื่อวานผมไปเห็นร้านหนึ่ง ขายปาท่องโก๋ ขนาดพอดี แป้งนุ่มๆ ขายตัวละ สองบาทขายดิบขายดีที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะร้านที่ขายดีใช้แป้งวิเศษ หรือ ตั้งในทำเลดีอะไรเลย แต่เพราะการเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม

ทางโลจิสติกส์ เราจะถามก่อนว่าลูกค้าต้องการอะไร… เท่าไหร่ แบบไหนที่รับได้ แบบไหนที่รับไม่ได้แล้ว

ลูกค้าอยากกินปาท่องโก๋นุ่มๆ อร่อยๆ เป็นหลัก หรือ แป้งอะไรก็ได้ ขนาดเท่าไหร่ก็ได้ทอดแต่ราคาห้ามเกินชิ้นละบาท?

เงินยี่สิบบาท มีค่าเท่ากับ ปาท่องโก๋นุ่มๆ สิบชิ้น กับ แป้งกรอบอันเล็กๆ ยี่สิบอัน ผมเลือกแบบแรก แล้วก็เห็นหลายๆ คนเลือกแบบเดียวกัน ในทางกลับกัน ป้าฯ ตัองจ่ายเงินจ้างผมนะ ถึงจะยอมกินก้อนแป้งทอดกรอบอมน้ำมันยี่สิบอันให้หมด

ในภาวะแบบนี้ การลดคุณภาพสินค้าไม่ใช่คำตอบเสมอไป บางทีการเพิ่มราคาสินค้าแต่คงคุณภาพ(ที่ลูกค้าต้องการไว้)ต่างหากที่น่าจะเป็นคำตอบ

ทั้งนี้ทั้งนั้นกลับมาสู่วลี อมตะ ของ อ.ลือชัย แห่งเศรษฐศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ว่า

“คุณรู้จักลูกค้าของคุณหรือยัง?”

ที่มา: ปรับปรุงจากบทความที่ลงใน TourismLogistics.com ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2552

Conference in Honour of Peter Swann (OBE)


A great but free conference on Industrial Economics at Nottingham Business School, UK.

Here is the information

A Picture from Guardian

Conference in Honour of Peter Swann (OBE)

15 – 16 September 2011

Conference Organisers: Giuliana Battisti, Stephen Thompson, Paul Windrum

To mark the recent retirement of Professor Peter Swann this conference celebrates his highly distinguished career, as both academic scholar and policy advisor. Peter has made significant intellectual contributions in the economics of innovation, championing the development of research and understanding of demand and wealth creation; innovation and sustainability; industrial and technology policy; and industrial clusters. He has held several advisory positions with government, including specialist advisor to the House of Lords Committee on Science and Technology. Peter was awarded an OBE in the Queen’s Birthday Honours List for Services to Business and Economic Policy. As well as providing intellectual leadership, Peter has been an inspirational teacher, and a supportive and encouraging colleague over the course his career at London Business School, Manchester Business School, and Nottingham University Business School.

Speakers at this two day conference are:

Robin Cowan (University of Strasbourg)
Bronwyn Hall (UoC Berkeley)
Stan Metcalfe (University of Manchester)
Paul Stoneman (Warwick Business School)
Martha Prevezer (Queen Mary, University of London)
Naresh Pandit (Norwich Business School)
Cristiano Antonelli (University of Turin)
Paul Nightingale (SPRU)
Daniel Birke (Innovation & Analytics)

Attendance: There is no conference fee.
To attend the conference, contact Carole Winson. Please be aware that places are limited.

Location: The conference will take place in the North Building of the Business School on Jubilee Campus (building #1 on this map).

Travelling to Jubilee Campus: Click for travel information.

Local Hotels: Click for hotel accommodation information.

การจัดการโลจิสติกส์ สำหรับการท่องเที่ยว: อะไร ทำไม และอย่างไร


ไพรัช พิบูลย์รุ่งโรจน์
20 พฤศจิกายน 2552

เวลาผมนำเสนองานวิทยานิพนธ์ทีไร จะต้องมีคำถามจาก อาจารย์และนักวิชาการทั้งสายโลจิสติกส์และสายท่องเที่ยวว่า
“ทำไมท่องเที่ยวต้องสนใจโลจิสติกส์?” หรือ “ท่องเที่ยวของเชียงใหม่มีปัญหาโลจิสติกส์จริงเหรอ?”

จริงๆ แล้วงานวิจัยก็มาจากปัญหาที่เรายังตอบไม่ได้ จึงต้องมีการศึกษาอย่างเป็นระบบเพื่อหาคำตอบที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตามหลายๆ คำถาม ก็ไม่ต้องทำวิจัย เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางไหน?  หรือ นักท่องเที่ยวที่รวยจะใช้จ่ายเงินมากกว่าคนที่มีรายได้น้อยกว่า (โดยเฉลี่ย) หรือไม่ เพราะทั้งสองคำถามต่างก็รู้คำตอบกันอยู่แล้ว

ในกรณีของโลจิสติกส์นั้นเป็นทีรู้กันว่าสำคัญต่อการผลิตอย่างมากเนื่องจากมีต้นทุนหลายๆ อย่างเช่น การขนส่ง การจัดเก็บสินค้าคงคลัง การสั่งซื้อ ฯลฯ ที่สามารถลดลงได้กว่าครึ่ง เพียงแค่มีการจัดการโลจิสติกส์ที่ดี อันนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ

สำหรับธุรกิจค้าปลีกโลจิสติกส์ก็สำคัญมาก นอกเหนือไปจากต้นทุนทั้งหลายที่คล้ายๆ กับการผลิตแล้ว ยังมี ต้นทุนที่เรียกว่าต้นทุนที่เกิดจากการที่ “ของขาด” หรือ “ของเหลือ”

ของขาด คือ ลูกค้ามาที่ร้านแล้วไม่เจอของที่อยากได้ หรือ ไม่พอที่ต้องการ

ของเหลือคือ ในร้านเรามีของที่ค้างอยู่ที่ชั้นเยอะ ขายไม่ออกสักที

ของขาด ทำให้เสียรายได้ที่ควรจะได้ในระยะสั้น ในระยะยาวก็อาจเสียลูกค้าได้ เนื่องจาก ลูกค้าหนีไปร้านอื่นที่มีของแทน

ของเหลือ ทำให้เสียรายได้เนื่องจาก แทนที่จะเอามาวางของที่ขายได้แทน หรือ ของที่ขายไม่ออกเน่าเสีย หรือตกยุค กลายเป็นต้นทุนจมไป

ระะบบโลจิสติกส์ที่ดีจะสามารถกำหนดได้ว่าสินค้าอะไรบ้างที่ควาจะมาวางบนชั้น เมื่อไหร่ เป็นจำนวนเท่าใด และ ขายในเวลาไหน ควรลดราคาเท่าไหร่เมื่อใด และควรจะสั่งสินค้ามาทดทนเท่าไหร่ อย่างไร เมื่อใด ให้ส่งมาทางไหน ส่งมาจากไหน ส่งมาจากใคร ส่งมาแล้วให้ไปเก็บไว้ก่อนหรือไม่ เก็บไว้ที่ไหน เท่าไหร่ อย่างไร

… แล้วโลจิสติกส์ของการท่องเที่ยวหล่ะ?

สำหรับการท่องเที่ยว นั้น ไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายตัวสินค้าเท่านั้นแต่ว่ามีการเคลื่อนย้ายลูกค้า (ผู้บริโภค หรือ นักท่องเที่ยว) ด้วย ดังนั้นโลจิสติกส์ของการท่องเที่ยวนั้นมีปัญหาทุกอย่างที่เกิดใน การผลิต และ การค้าปลีก แถมยังปัญหาเกี่ยวกับการบริการเข้ามาด้วย นี่คือฝั่งผู้ให้บริการอย่างเดียวเท่านั้น ตรงนี้เป็นสิ่งที่ นักวิชาการโลจิสติกส์ให้ความสำคัญกับภาคบริการมากขึ้น

อีกฝั่งก็คือการเคลื่อนย้ายลูกค้า (ซึ่งกว้างกว่าการขนส่งผู้โดยสาร) ที่คาร์ดิฟสนใจเรื่องโลจิสติกส์ของโรงพยาบาลอย่างมาก ที่มาคือมีนักวิจัยไปรักษาตัวที่ โรงพยาบาลแล้วหงุดหงิดใจกับระบบของโรงพยาบาล

จนกลายเป็นโครงการวิจัยใหญ่ของประเทศไปเลย ยกตัวอย่าง เช่น งานของกลุ่มวิจัยเรื่อง Lean (มาจากระบบของ Toyota) ที่คาร์ดิฟศึกษาการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยใน รพ.

อย่างไรก็ตามสำหรับการท่องเที่ยวนั้น นักท่องเที่ยวไม่ใช่แค่เดินไปเดินมาในโรงแรม (หากเทียบกับ ผู้ป่วย ใน โรงพยาบาล) หรือ เดินในงานพืชสวนโลก แต่ว่าตั้งแต่ออกจากบ้านก็ผ่านการเดินทางหลากหลายรูปแบบ ความต้องการก็ไม่แน่นอน

คนป่วยที่คาร์ดิฟหากฉุกเฉินโทรเรียกรถฉุกเฉินของรพ. แล้วก็รอแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่มาตรวจแล้วก็ทำตามขั้นตอนมาตรฐานผู้ป่วยและญาติก็เชื่อฟังด้วยความเต็มใจ บอกให้ทำอะไรก็ทำ (ถ้าอยากจะรอด)

ทว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่แบบนั้น… เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นงานบริการที่เรื่องมากที่สุด บริการหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวแบบไหนก็เรื่องมากหมด จะนอนโรงแรมห้าดาวอย่าง “ดาราเทวี” หรือจะนอนวัดก็เรื่องมากทั้งนั้น… แต่เรืองมากคนละแบบ ต้องการคนละอย่าง … เรื่องนี้คนโรงแรมรู้ดี ไม่เท่านั้น คนป่วย มีประวัติการรักษา แพทย์ พยาบาลดูประวัติแล้วก็วินิจฉัยได้เลย

อย่างไรก็ตามการท่องเที่ยวไม่ใช่แบบนั้นไปซะหมด ยิ่งปัจจุบัน เราพบว่านักท่องเที่ยวคนเดียวกันมีหลายหน้า หมายถึงคนๆ เดียวท่องเที่ยวหลายแบบ แล้วแต่ปัจจัยหลายประการ

ยกตัวอย่างใกล้ตัว ผมเอง เวลาที่อยู่กับ อ.มิ่งสรรพ์ ไปประชุมวิชาการ พักโรงแรมที่ค่อนข้างดี แต่ตอนนี้มาเรียนเองแล้วไม่มีทุนวิจัยสนับสนุนมากมาย

ไปประชุมคราวนี้ก็ต้องนอนหอ นศ. เก่าๆ ห้องน้ำรวม แต่ผมคนเดิมอีก เดือนหน้าไปเสนองานที่ภูเก็ตสองคืนแรกพักสามดาว (เบิกได้) อีกสามคืนอยู่ต่อเองเพื่ิอทำงานวิจัยก็เปลี่ยนไปอยู่สองดาว…

ดูเหมือนว่าเรื่องเงินสำคัญ…

มาดูอีก… ผมคนเดิม กลับมาทำวิจัยคราวนี้เบิกที่คาร์ดิฟเรื่องเดินทางได้เต็มที่ ขาที่ต่อเครื่องมาจากสุวรรณภูมิก็การบินไทย ไปภูเก็ตก็การบินไทยจาก เชียงใหม่ กรุงเทพ แล้วก็ภูเก็ต แต่ขาจากภูเก็ตมาเชียงใหม่ใช้ Air Asia เพราะมีเที่ยวตรง (ไม่เกี่ยวกับราคาเลย เกี่ยวกับลักษณะของบริการที่เหมาะสม) เดี๋ยวถ้าไปดูซีเกมส์ที่เวียงจันทน์ก็อาจจะไปกับการบินลาวก็ได้ เพราะออกจากเชียงใหม่ได้แวะหลวงพระบางก่อน แล้วต่อไปวังเวียงแบบรถคิวถูกๆ เพราะสนุกดี ให้เพื่อนมารับไปเวียงจันทน์ ต่อรถไฟเองไปลงหนองคาย อุดรฯ แล้วก็เชียงใหม่ แผนสามารถเปลี่ยนได้เรื่อยๆ

การท่องเที่ยวนั้นเรื่องมาก และ ลูกค้าเอาแต่ใจสูง ทีนี้ ทำไมโลจิสติกส์สำคัญในการท่องเที่ยวในระยะสั้นเอกชนสามารถลดต้นทุนได้ ทั้งจากการที่สามารถจัดการการเตรียมของไว้บริการได้เพียงพอในราคาี่ถูกที่สุด เนื้อหมูไม่ขาด เบียร์มีพร้อม สาวเชียร์เบียร์มาครบ แก้ว จาน ชาม สะอาด เรียบร้อยมีพร้อมใช้งาน และที่สำคัญของพวกนี้ไม่มีอะไรที่มีอยู่เกินความจำเป็น

ในระยะยาว ผู้ให้บริการแก่ลูกค้าได้ตรงตามความต้องการก็จะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า มาใช้บริการเรื่อยๆ ไม่ใช่ ตีหัวเข้าบ้าน เน้นเอาถูกแต่คุณภาพไม่ดีพอ หรือ ดันไปให้อะไรที่ลูกค้าไม่ต้องการแต่ละเลยสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ เช่น ลูกค้าเป็นชาวญี่ปุ่นมาอยู่หลังวัยเกษียณแต่ห้องน้ำไม่มีอ่าง แต่ดันมีมุมทำงานที่มีอุปกรณ์ครบครัน

อีกตัวอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องกลยุทธ์ราคากับคุณภาพที่ผมชอบพูดคือ ปรากฎการณ์ปาท่องโก๋ … (ถ้าอยากฟังต่อกดที่ Link เลยครับ)

ปรับปรุงจาก TourismLogistics.com
บทความ ทำไมต้องสนใจการจัดการโลจิสติกส์ในการท่องเที่ยว?